A Knowledge Transfer Antecedents Assessment Model

August 30, 2017 | Autor: Narupol Punkoe | Categoria: Assessment, Knowledge Transfer, Scrum
Share Embed


Descrição do Produto

Joint Conference on ACTIS & NCOBA 2015, Jan 30-31, Nakhon Phanom, Thailand. ISSN: 1906-9006

แบบจําลองการประเมินปัจจัยทีส่ งผลต่ อการถ่ ายทอดความรู้ A Knowledge Transfer Antecedents Assessment Model นฤพล ปั นกอ1, นลินภัสร์ ปรวัฒน์ปรี ยกร2 ,2

ภาควิชาเทคโนโลยีสารสนเทศ คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ 1518 ถนนประชาราษฎร์สาย แขวงวงศ์สว่าง เขตบางซื1อ กรุ งเทพมหานคร 3433 โทรศัพท์: 0-25552000 E-mail: [email protected], [email protected] บทคัดย่ อ Abstract ปั จ จัย หนึ1 งที1 สํ า คัญ ที1 ท ํา ให้ ก ารพัฒ นาซอฟต์ แ วร์ One of important antecedents that can contribute to ประสบความสําเร็ จและมีประสิ ทธิภาพ คือการถ่ายทอดความรู ้ success in software development is knowledge transfer within ภายในทีม แต่ในปั จจุบนั ยังพบปั ญหาในการถ่ายทอดความรู ้ teams. However, its challenges still occur, e.g., lack of เช่น ขาดแบบการประเมินปั จจัยที1ส่งผลต่อการถ่ายทอดความรู ้ influential antecedent assessment. The objective of this paper เป็ นต้น การวิจัยนีT มีวตั ถุประสงค์เพื1อพัฒนาแบบจําลองการ therefore is to develop a knowledge transfer antecedent ประเมิ นปั จจัยที1 ส่ง ผลต่อ การถ่า ยทอดความรู ้ เพื1 อให้ที มได้ assessment model which aims at guiding teams on which ทราบถึงปั จจัยสําคัญใดที1 พฒั นาได้เป็ นอย่างดี และปั จจัยใดที1 antecedents have been implemented well and which ควรได้รับการปรับปรุ งทันที แบบจําลองนีT ประกอบด้วย V มิติ antecedents should be improved immediately. This model คือ มิติปัจจัย ประกอบด้วย ปั จจัยรวม W ด้าน ได้แก่ กลุ่ม contains two dimensions. First, an antecedents dimension ผูใ้ ห้ความรู ้ (ประกอบด้วย แรงจูงใจที1ดี ความสามารถในการ consisting of 11 antecedents which can be grouped into 5 ให้ความรู ้ และความน่าเชื1อถือ) กลุ่มผูร้ ับความรู ้ (ประกอบด้วย categories: Source containing great motivation, capability, แรงจูงใจที1ดี และความสามารถในการรับความรู ้) กลุ่มความรู ้ and creditability; Recipient containing great motivation and (ประกอบด้ว ย ความง่ า ยในการเข้า ถึ ง และใช้ค วามรู ้ และ absorptive capacity; Knowledge containing ease of ประโยชน์ ที1 ไ ด้ รั บ ) กลุ่ ม ความสั ม พั น ธ์ (ประกอบด้ ว ย knowledge access and use, and usefulness of knowledge; ความสัมพันธ์ที1ดี และการรักษาข้อตกลงร่ วมกันในที ม) และ Relational containing good relationship and commitment; and กลุ่มที1 W สถานการณ์ (ประกอบด้วย การติ ดต่อสื1 อสารอย่าง Situational containing extensive communication and สมํ1า เสมอ และวัฒ นธรรมองค์ ก ร) และมิ ติ ก ารประเมิ น organizational culture. Second, an assessment dimension ประกอบด้วยเกณฑ์การประเมิน เครื1 องมื อ และแนวทางการ consists of assessment criteria, a tool, and improvement ปรั บ ปรุ ง ผลการประเมิ นแบบจําลองด้วยการทํากรณี ศึ กษา guideline. The evaluation of this model using a case study พบว่า ทีมรับรู ้ถึงประโยชน์และความง่ายในการใช้แบบจําลอง reveals that the model’s usefulness and ease of use were ส่งผลให้เกิดความตัTงใจที1จะนําแบบจําลองไปใช้ในอนาคต perceived by practitioners. This shows intention to use in the future. คําสําคัญ: ปั จจัย , แบบจําลองประเมิ นปั จจัย, การถ่ายทอด ความรู ้ Keywords: Antecedents, Assessment Model, Knowledge Transfer

~ 50 ~

Joint Conference on ACTIS & NCOBA 2015, Jan 30-31, Nakhon Phanom, Thailand. ISSN: 1906-9006

4. บทนํา ค ว า ม สํ า เ ร็ จ ข อ ง ก า ร พั ฒ น า ซ อ ฟ ต์ แ ว ร์ ที1 มี ประสิ ทธิ ภาพและประสิ ทธิ ผลนัTน ต้องการการพัฒนาความรู ้ ของทีมผ่านกระบวนการถ่ายทอดความรู ้ที1มีประสิ ทธิ ภาพ ซึ1 ง เกี1 ยวข้องกับปั จจัยหลายประการ อาทิ ความเชี1 ยวชาญของผูท้ ี1 ถ่ า ยทอดความรู ้ ประสบการณ์ ทT ัง ของผู ้รั บ และผู ้ถ่ า ยทอด ความรู ้ และความสามารถในการถ่ายทอดและการประยุกต์ใช้ ความรู ้ [1] เป็ นต้น การถ่ายทอดความรู ้ลว้ นมีบทบาทสําคัญใน การสื1 อสารและความรู ้ที1เกี1 ยวกับการพัฒนาบุคคล [2] เพื1อให้ ที มพัฒนาซอฟต์แวร์ ดาํ เนิ นงานเป็ นไปตามแผนที1 วางไว้เพื1อ ผลประโยชน์ ข ององค์ก รและต่ อ ที ม พัฒ นาซอฟต์แ วร์ แต่ อย่ า งไรก็ ต ามวิ ธี ห รื อกระบวนการถ่ า ยทอดความรู ้ นT ั น จําเป็ นต้องมีการปรับปรุ งให้เข้ากับสถานการณ์ที1เปลี1ยนแปลง ไปอย่างสมํ1าเสมอ ด้วยเหตุนT ี งานวิจยั นีT จึงทําการต่อยอดกรอบ การถ่ายทอดความรู ้ในบริ บทของการพัฒนาซอฟต์แวร์ ดว้ ยวิธี สกรั มที1 พฒ ั นาโดย [1] ซึ1 งกรอบการถ่ายทอดความรู ้ นT ี ได้รั บ การประเมิ น ด้ว ยกรณี ศึ ก ษาแล้ว ว่า สามารถสนับ สนุ น การ ถ่ายทอดความรู ้ ภายในที มได้อย่างมีประสิ ทธิ ภาพ แต่ยงั ขาด การแนวทางหรื อเครื1 องมื อ ที1 ช่ ว ยในการประเมิ น ปั จ จัย ที1 เกี1 ยวข้อง ดังนัTนงานวิจยั นีT จึงพัฒนา แบบจําลองการประเมิ น ปั จจัยที1 ส่ งผลต่อ การถ่า ยทอดความรู ้ เพื1อให้ที มได้ทราบถึ ง ปั จจัยสําคัญใดที1พฒั นาได้เป็ นอย่างดี และปั จจัยใดที1ควรได้รับ การปรับปรุ งทันที ดังมีรายละเอียดในหัวข้อที1 3 6. ทฤษฎีและงานวิจยั ทีเกียวข้ อง 2.1 กรอบการถ่ ายทอดความรู้ กรอบการถ่ายทอดความรู ้ ที1นําเสนอโดย [1] เป็ น กรอบที1 ส นั บ สนุ น การถ่ า ยทอดความรู ้ ภ ายในที ม พัฒ นา ซอฟต์แวร์ ดว้ ยวิธีสกรัม ประกอบด้วย 6 องค์ประกอบ ได้แก่ Problems หมายถึ งปั ญหาที1 เกิ ดจากความต้องการของผูใ้ ช้ที1 ต้องได้รับการแก้ไข Antecedents หมายถึงปั จจัยที1ส่งผลต่อการ ถ่ายทอดความรู ้ ประกอบด้วย 11 ปั จจัยใน 5 ด้าน (รายละเอียด แสดงในหัวข้อที1 3) Knowledge หมายถึงความรู ้ที1ได้สามารถ นําไปแก้ไขปั ญหาได้ Mechanisms หมายถึงกลไกที1ใช้ในการ ถ่ า ยทอดความรู ้ โดยมุ่ ง เน้น ไปที1 ช่ อ งทางการสื1 อ สารและ

กิจกรรมที1ใช้ในการถ่ายทอดความรู ้ Knowledge Application หมายถึ ง การนํ า ความรู ้ ที1 ไ ด้ รั บ ไปใช้ จ ริ ง โดยผู ้ใ ห้ ต ้อ ง สนับ สนุ น และติ ด ตามความรู ้ ที1 ถ่ า ยทอดไปว่า ผู ้รั บ ความรู ้ สามารถนําไปใช้ได้มากน้อยแค่ไหน และ Outcomes หมายถึง ผลลัพธ์ที1ได้จากการใช้กรอบการถ่ายทอดความรู ้มีทT งั หมด 3 ด้านคือ ด้านประสิ ทธิ ภาพ ด้านประสิ ทธิ ผล และด้านความพึง พอใจ จากการที1 ผูร้ ั บความรู ้ นํา ความรู ้ ที1ไ ด้รั บไปใช้จ ริ ง ซึ1 ง องค์ประกอบเหล่านีT สัมพันธ์กนั แบบหลากหลายทิ ศทาง อาทิ ปั ญหาที1ตอ้ งการแก้ส่งผลต่อความรู ้ที1ตอ้ งการได้รับ และ ปั จจัย และวิธีการถ่ายทอดความรู ้ส่งผลต่อผลลัพธ์ที1เกิดขึTน เป็ นต้น 2.2 แบบจําลองการยอมรับเทคโนโลยี แบบจํา ลองการยอมรั บ เทคโนโลยี (Technology Acceptance Model: TAM) นําเสนอโดย [3] ได้ให้คาํ อธิ บาย 3 ปั จจัยสําคัญ คือ การรับรู ้ประโยชน์ (Perceived Usefulness: PU) การรับรู ้การใช้งานง่าย (Perceived Ease of Use: PEOU) และความตัTงใจที1จะใช้งาน (Behavioral Intention to Use: BI) ซึ1งส่งผลให้เกิดการยอมรับการใช้งานจริ ง โดยปั จจัยทัTง 3 นีT ถูก นํามาใช้ในการประเมินการยอมรับแบบจําลองที1พฒั นาขึTนใน งานวิจยั นีT 2.3 งานวิจยั ทีเกียวข้ อง การถ่ า ยทอดความรู ้ ถื อ เป็ นสิ1 งหนึ1 งที1 สํ า คัญ ต่ อ ความสําเร็ จของความคิดเริ1 มโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์ การ จัดการความรู ้ในยุคของข้อมูลข่าวสารในปั จจุบนั ขององค์กรที1 ต้องการเรี ยนรู ้อย่างต่อเนื1อง [4][5] โดยการถ่ายทอดความรู ้ที1มี ประสิ ทธิภาพสามารถส่งเสริ มความรู ้ที1มีอยูเ่ ดิม และเสริ มสร้าง ความรู ้ แบบใหม่ได้ [6] ซึ1 งการพัฒนาซอฟต์แวร์ ให้ทันกับ สถานการณ์ปัจจุบนั มีความจําเป็ นที1จะต้องใช้ความรู ้ในแต่ละ กิ จ กรรมเป็ นอย่ า งมาก [7] การถ่ า ยทอดความรู ้ ที1 ไ ม่ มี ประสิ ทธิ ภ าพ เกิ ด จากหลายปั จ จัย เช่ น การขาดการจัด การ ความรู ้ที1ดีภายในทีม การแบ่งปั นความรู ้ วัฒนธรรมในองค์กร [8] ผูใ้ ห้ความรู ้ ผูร้ ับความรู ้ ธรรมชาติของความรู ้ โอกาส และ ความสัมพันธ์ [2][9-10] การสื1 อสาร และการขาดการบูรณาการ ความรู ้ที1ได้รับ เนื1 องจากขาดการประเมินตนเอง [11-12] เป็ น ต้น ดังนัTน ปั จ จัย ที1 ส่ง ผลต่อ การถ่า ยทอดความรู ้ ค วรได้ก าร ประเมินโดยทีมหรื อผูท้ ี1เกี1ยวข้อง เพื1อให้ทราบถึงการมีอยูแ่ ละ

~ 51 ~

Joint Conference on ACTIS & NCOBA 2015, Jan 30-31, Nakhon Phanom, Thailand. ISSN: 1906-9006

ผลลัพธ์จากการพัฒนาปั จจัยต่าง ๆ เหล่านัTน ซึ1 งในการประเมิน [13] ได้พฒั นาแบบจําลองในการประเมินปั จจัย เพื1อสนับสนุน ที ม ในการปรั บ ปรุ งกระบวนการพัฒ นาซอฟต์ แ วร์ ใ ห้ มี ประสิ ท ธิ ภ าพมากยิ1 ง ขึT น ซึ1 งภายใต้แ บบจํา ลองนีT จะเชื1 อ ม กระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที1ควรพัฒนาเข้ากับปั จจัยสําคัญ ผูป้ ระเมินจะต้องประเมินกระบวนการพัฒนาซอฟต์แวร์ ที1ทีม ปฏิบตั ิภายใต้แต่ละปั จจัยที1กาํ หนด หากผลการประเมินพบว่า ปั จจัยใดได้รับคะแนนตํ1ากว่าเกณฑ์ที1กาํ หนด จะถือว่าปั จจัยนัTน ควรได้รับการพัฒนาและปรับปรุ งโดยทันที แต่หากปั จจัยใด ได้รั บคะแนนสู ง กว่า ที1 กาํ หนด จะถื อว่า ปั จ จัยนัTน ได้รั บการ พัฒ นาเป็ นอย่า งดี ซึ1 ง หากพิ จ ารณาจากแนวทางของ [13] นีT พบว่ามีความเหมาะสมและมีความเป็ นไปได้อย่างมากในการ นํามาปรับประยุกต์ใช้เพื1อพัฒนาแบบจําลองการประเมินปั จจัย ที1ส่งผลต่อการถ่ายทอดความรู ้ภายใต้งานวิจยั นีT ?. วิธีดาํ เนินการวิจยั วิธีการพัฒนาแบบจําลองฯ มี ~ ขัTนตอน ดังนีT ขัAนตอนที 4 ศึกษาวรรณกรรมที1เกี1ยวข้องและพัฒนา แบบจําลองการประเมินปั จจัยที1 ส่งผลต่อการถ่ายทอดความรู ้ โดยแบบจํา ลองนีT ประกอบด้ว ย V มิ ติ สํา คัญ คื อ มิ ติ ปั จ จัย (Antecedents Dimension) และมิติการประเมิน (Assessment Dimension) ดังภาพที1 ~ Antecedents Assessment Model Antecedents Dimension Dimension

Source Recipient Knowledge

Relational Situational

Antecedents great motivation, capability, creditability great motivation, absorptive capacity ease of knowledge access and use, usefulness of knowledge good relationship, commitment extensive communication, organizational culture

Assessment Dimension เกณฑ์การประเมิน Organized into

เครื1 องมือ ผลลัพธ์และแนวทาง

ภาพที ? : แบบจําลองการประเมินปั จจัย โดยที1 Antecedents Dimension เป็ นมิติของ ปั จจัย สําคัญที1ส่งผลต่อการถ่ายทอดความรู ้ใน W กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที1 ผูใ้ ห้ความรู ้ (Source) ประกอบด้วย ~ ปั จจัย คือ ) แรงจูงใจที1ดี (Great Motivation) มี ~ แบบ คือ แรงจูงใจภายในเกิดจากการ ทํางานที1เกี1ยวข้องกับตนเอง แรงจูงใจภายนอกถูกกําหนดโดย

เมื1อคนมีส่วนร่ วมในการทํางานโดยหวังผลกระโยชน์กลับมา โดยรางวัลเป็ นการตอบแทน เช่น เงินเดือน และโบนัส เป็ นต้น และไม่มี แรงจู งใจ [14] V) ความสามารถในการให้ความรู ้ (Capability) ขึT น อยู่กับ ความรู ้ และประสบการณ์ ในเรื1 องที1 เกี1 ยวข้อง [5] และ ~) ความน่ าเชื1 อถื อ (Creditability) ขึT นอยู่กับ ชื1อเสี ยง ความไว้วางใจ และประสบการณ์ของผูใ้ ห้ [5][15] กลุ่มที1 V ผูร้ ั บความรู ้ (Recipient) ประกอบด้วย V ปั จ จัย คื อ ) แรงจู ง ใจที1 ดี (Great Motivation) และ V) ความสามารถในการรับความรู ้ (Absorptive Capacity) โดย ความรู ้เดิมของผูร้ ับความรู ้ส่งผลต่อความสามารถในการรับรู ้ สิ1 งใหม่ได้ดีและเกิดความง่ายในการรับรู ้อีกด้วย [16] กลุ่มที1 ~ ความรู ้ (Knowledge) ประกอบด้วย V ปั จจัย คื อ ) ความง่ า ยในการเข้า ถึ ง และใช้ค วามรู ้ (Ease of Knowledge Access and Use) โดยผูร้ ับความรู ้ไม่ตอ้ งใช้ความ พยายามมากจนเกิ น ไปในการเรี ยนรู ้ ซึ1 งความง่ า ยนีT มี ความสัมพันธ์ในเชิงบวกต่อการใช้ความรู ้ ความพึงพอใจ และ การยอมรั บ ความรู ้ [3][17] และ V) ประโยชน์ ที1 ไ ด้ รั บ (Usefulness of Knowledge) โดยเกิ ดจากการรับรู ้ของผูร้ ั บ ความรู ้ ว่าความรู ้ ที1 ได้รับมาก่ อเกิ ดประโยชน์ต่อ ผูร้ ั บได้มาก น้อยเพียงใด ซึ1 งประโยชน์ที1ได้รับนีT ส่งผลโดยตรงต่อการนํา ความรู ้ไปใช้ในอนาคต [3] กลุ่มที1 ‚ ความสัมพันธ์ (Relational) ประกอบด้วย V ปั จจัย คือ ) ความสัมพันธ์ที1ดี (Good Relationship) โดยเกิ ด จากผูใ้ ห้ความรู ้และผูร้ ับความรู ้หากมีความสัมพันธ์ในเชิงบวก จะส่ งผลสําคัญต่อความตัTงใจในการถ่ายทอดความรู ้ [17] แต่ หากมีความสัมพันธ์ในเชิงลบ อาจส่งผลให้การถ่ายทอดความรู ้ นัTนไม่ถูกต้องครบถ้วน [18] ซึ1งความสัมพันธ์ที1ดีสามารถสร้าง ได้โดยการเพิ1มความถี1ในการมีปฏิสัมพันธ์หรื อการสื1 อสารให้ มากขึTนจากเดิม [19] และ V) การรักษาข้อตกลงร่ วมกันในที ม (Commitment) ซึ1 งหากผูท้ ี1 เกี1 ยวข้องสามารถรั กษาข้อตกลง ร่ วมกันในทีมได้ จะส่งผลต่อการทํางานให้เป็ นอย่างรวดเร็ ว และกลุ่มที1 W สถานการณ์ (Situational) ประกอบด้วย V ปั จจัย คื อ ) การติ ดต่ อสื1 อ สารอย่า งสมํ1า เสมอ (Extensive Communication) การถ่ายทอดความรู ้จะเกิดขึTนได้ก็ต่อเมื1อผูใ้ ห้ การสื1 อสารกับผูร้ ับอย่างสมํ1าเสมอ ยิง1 ติดต่อสื1 อสารกันบ่อยครัTง

~ 52 ~

Joint Conference on ACTIS & NCOBA 2015, Jan 30-31, Nakhon Phanom, Thailand. ISSN: 1906-9006

ยิ1งส่ งผลให้มี การถ่ ายทอดความรู ้ ที1 มากขึT น [17] การสื1 อ สาร สามารถเกิ ด ขึT นได้ห ลายช่ อ งทาง เช่ น อี เ มล์ การสนทนา ออนไลน์ โทรศัพท์ หรื อการสื1 อสารแบบกลุ่ม เป็ นต้น และ V) วัฒนธรรมองค์กร (Organizational Culture) ถื อเป็ นปั จจัย สําคัญที1ช่วยสนับสนุนให้ผใู ้ ห้และผูร้ ับความรู ้เกิดการถ่ายทอด ระหว่างกัน เช่น องค์กรหรื อทีมสนับสนุนและผลักดันให้มีการ แลกเปลี1ยนความรู ้ผา่ นระบบสารสนเทศ เป็ นต้น สําหรั บ Assessment Dimension เป็ นมิ ติของการ ประเมิ น ปั จ จัย ประกอบด้ว ย ~ ส่ ว นหลัก คื อ เกณฑ์ ก าร ประเมิ น เครื1 องมื อ ในการประเมิ น และแนวทางในการ ปรับปรุ ง โดยเกณฑ์การประเมิน ปรับประยุกต์จาก [20] ซึ1 งผู ้ ประเมินต้องให้คะแนนในแต่ละกิจกรรมภายใต้แต่ละปั จจัยที1 กําหนดใน ~ มิ ติ คื อ มิติที1 ความสามารถ หมายถึ ง ความ พร้อมและความสามารถในการพัฒนาปั จจัย มิติที1 2 การปรับ ใช้ หมายถึง ภาพรวมของทีมในการนําปั จจัยสําคัญไปใช้ในทีม และมิ ติที1 3 ผลลัพธ์ หมายถึ ง ประโยชน์หรื อประสิ ทธิ ภาพที1 ได้รับจากการพัฒนาและนําปั จจัยไปใช้ในช่วงระยะเวลาหนึ1 ง โดยคะแนนเริ1 มตัTง แต่ 0 ถึ ง 10 โดยที1 0 คะแนน คื อ ไม่ มี คุณภาพมากและควรปรับปรุ งอย่างเร่ งด่ วน และ 10 คะแนน คือ มีคุณภาพมาก ตัวอย่างแสดงดังตารางที1 1 ตารางที 4 : ตัวอย่างเกณฑ์การประเมิน มิติสําคัญในการประเมินกิจกรรม ความสามารถ การปรับใช้ ผลลัพธ์ ไม่มี ไม่มีความ สามารถ ไม่มีส่วนหนึ1 งของ ไม่ได้ผล คุณภาพ ในการจัดการและ ปั จจัยที1ใช้ในการ เลย ใช้ปัจจัย ปฏิบตั ิ หรื อได้รับ (0) ความสนใจ มี - เริ1 มตระหนักถึง - แบ่งการใช้งาน - ผลลัพธ์ที1ไม่ คุณภาพ ความจําเป็ นในการ ของปั จจัย แน่นอน น้อยมาก บริ หารจัดการปั จจัย - การใช้งานปั จจัย - ผลลัพธ์ที1ไม่ (1-2) - เริ1 มตระหนักถึง ไม่มีความ สอดคล้องกัน การสนับสนุน สอดคล้อง - พบปั จจัย ปั จจัย - ทีมนําปั จจัยไป บางส่ วนมี ใช้บางส่ วน ประสิ ทธิ ผล - จํากัดการ สําหรับทีม ตรวจสอบปั จจัย / บางส่ วน ตรวจสอบในการ ใช้งานของปั จจัย

ส่ วนที1 2 เครื1 องมือการประเมิน อยู่ในรู ปแบบของ แบบสอบถาม โดยผูป้ ระเมินต้องทําความเข้าใจในกิ จกรรมที1 เป็ นข้อ คํา ถามในแต่ ล ะปั จ จัย และแนวทางการให้ ค ะแนน ข้างต้น จากนัTนให้คะแนนและคํานวณหาค่าคะแนนเฉลี1ยของ แต่ละปั จจัย ทําได้โดยการบวกคะแนนทัTงหมดของแต่ละข้อ คําถามภายใต้แต่ละปั จจัยนัTน ๆ แล้วหารด้วยจํานวนข้อคําถาม และปั ดเศษขึTน หากปั จจัยใดได้คะแนนเฉลี1ยตัTงแต่ 7 คะแนน ขึTนไป หมายความว่า ปั จจัยนัTนได้รับการพัฒนาเป็ นอย่างดี แต่ หากปั จจัยใดได้คะแนนเฉลี1ยตํ1ากว่า 7 คะแนน หมายความว่า ปั จ จัย นัTน จํา เป็ นต้อ งได้รั บ การปรั บ ปรุ ง ให้ ดี ขT ึ น เพื1 อ เพิ1 ม ประสิ ทธิ ภาพในการถ่ายทอดความรู ้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ โดยเน้นปรับปรุ งตามแนวทางที1แนะนํา ตามข้อคําถามภายใต้ ปั จจัยนัTนที1 ได้รับคะแนนตํ1ากว่า 7 คะแนน ตัวอย่างเครื1 องมือ และการคํานวณหาค่าเฉลี1ย ตัวอย่างดังตารางที1 2 ตารางที 2: ตัวอย่างเครื1 องมือและการคํานวณหาค่าเฉลี1ยปัจจัย ปัจจัย

แรงจูงใจ ที1ดี

คะแนน

กลุ่มปัจจัย: ผู้ให้ ความรู้ คําถาม คะแนน 7 1. ฉันไม่ลงั เลที1จะแบ่งปั น ความรู้ให้กบั สมาชิ กในทีม พัฒนาซอฟต์แวร์ 2. ฉันยินดีที1จะช่วยเหลือคน 5 อื1น ๆ ภายในทีมพัฒนา ซอฟต์แวร์ คะแนนเฉลีย

6

แปลผล มีคุณภาพ

มีคุณภาพ เล็กน้อย ควรปรับปรุ ง มีคุณภาพ เล็กน้ อย ควร ปรับปรุ ง

จากตัวอย่างข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความต้องการใน การปรับปรุ งแรงจูงใจที1ดี โดยเฉพาะคําถามที1 2 ซึ1 งแบบจําลอง แนะนําแนวทางปฏิบตั ิ โดยผูใ้ ห้ความรู ้ควรถ่ายทอดความรู ้ที1 ใช้ในการพัฒนาซอฟต์แวร์ในช่วงเวลาที1พฒั นาซอฟต์แวร์ทนั ที เพื1 อ ให้ ผู ้รั บ ความรู ้ ไ ด้ค วามรู ้ ที1 ทัน สมัย และเกิ ด ประโยชน์ สามารถนําไปแก้ไขปั ญหาได้ตรงจุด ณ ขณะที1เกิดปั ญหา ขัA น ตอนที 2 ประเมิ น แบบจํา ลองฯ ด้ว ยการทํา กรณี ศึกษา ณ บริ ษทั ฟิ ดีลีตT ี ฟาสิ เนท ฟาสเนท จํากัด ระยะเวลา ในการทํากรณี ศึกษา เริ1 มตัTงแต่วนั ที1 4-22 สิ งหาคม 2557 โดย ที มพัฒนาซอฟต์แ วร์ ด้วยวิธีสกรั ม ประกอบด้ว ย 11 คน 3

~ 53 ~

Joint Conference on ACTIS & NCOBA 2015, Jan 30-31, Nakhon Phanom, Thailand. ISSN: 1906-9006

บทบาท กล่าวคือ Product Owner 1 คน Scrum Master 1 คน และ Team Members อี ก 9 คน สําหรั บการพัฒนาระบบ สารสนเทศจํานวน 3 Sprints เก็บรวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการ สังเกตการถ่ายทอดความรู ้ระหว่างการพัฒนาซอฟต์แวร์ การ สัมภาษณ์ เพื1 อพิ จารณาถึ งปั ญหา อุปสรรค และประโยชน์ ที1 ได้รั บ จากการใช้แ บบจํา ลองฯ และใช้แ บบสอบถามเพื1 อ วิเคราะห์การรับรู ้ถึงความง่ายและการรับรู ้ถึงประโยชน์จากการ ใช้แบบจําลองฯ รวมถึงวิเคราะห์การยอมรับและแนวโน้มการ นําแบบจําลองไปใช้ในอนาคต ขัAนตอนที 3 สรุ ปผลการวิจัย จากการทํากรณี ศึกษา โดยการสังเกตและการสัมภาษณ์พบว่า ใน Sprint ก่อนเริ1 ม งานทีมได้ประเมินปั จจัยที1ส่งผลกระทบต่อการถ่ายทอดความรู ้ ทัTง 11 ปั จจัยข้างต้น โดยใช้เวลาเฉลี1ยมากถึง 72 นาที จากการ สังเกตพบว่าเป็ นการประเมินปั จจัยในครัTงแรกนัTน ทีมยังไม่เกิด ความชํานาญ เวลาส่วนใหญ่สูญเสี ยไปเพื1อทําความเข้าใจเกณฑ์ การให้ ค ะแนน และข้อ คํา ถามในแบบจํา ลองฯ ผลจากการ ประเมินพบว่ามี 10 ปั จจัยที1ทีมพัฒนาได้เป็ นอย่างดี และมีเพียง แค่หนึ1 งปั จจัยที1 ไม่มีคุณภาพและต้องได้รับการปรับปรุ งทันที คื อ ความง่ า ยในการเข้า ถึ ง และใช้ค วามรู ้ ซึ1 ง จากการสัง เกต พบว่าที มทําความเข้าใจและปรับประยุกต์ความรู ้ที1ได้รับการ ถ่ายทอดให้สามารถแก้ไขงาน ณ ขณะนัTนได้ตามแนวทางที1 แนะนํา ชีT ให้เ ห็ น ว่า แนวทางการปรั บปรุ งดังกล่ าว สามารถ สนับสนุ นการถ่ายทอดความรู ้ให้มีประสิ ทธิ ภาพที1 มากขึTนได้ ต่อ มาใน Sprint V และ Sprint 3 ที มใช้ระยะเวลาในการ ประเมินปั จจัยโดยเฉลี1ย 20 นาที และ 13 นาที ตามลําดับ ซึ1 ง ลดลงจากเดิ มเป็ นอย่างมาก ผลจากการประเมินปั จจัยใน 2 Sprint นีT พบว่าไม่มีปัจจัยใดต้องปรับปรุ ง แต่อย่างไรก็ตาม ผูว้ ิจยั ยังคงติดตามผลการปรับปรุ งปั จจัยใน Sprint 1 อย่าง ต่อเนื1อง และผลจากการพัฒนาซอฟต์แวร์ ยังพบว่าความเร็ วใน การพัฒนาซอฟต์แวร์ ในแต่ละ Sprint เพิ1มขึTน ส่ งผลให้งานใน Sprint เสร็ จตามกําหนด อีกทัTงผลจากการตอบแบบสอบถาม พบว่าทีมรับรู ้ถึงความง่ายและประโยชน์ในการถ่ายทอดความรู ้ และการใช้งานแบบจําลองฯ และเกิดความพึงพอใจในการใช้ งาน ด้วยค่ามัธยฐาน เท่ากับ 4 จากคะแนนเต็ม 5 จากข้อมูลนีT

แสดงให้เห็นถึงการถ่ายทอดความรู ้ที1มีประสิ ทธิ ภาพมากยิ1งขึTน และแนวโน้มที1ดีที1ทีมจะนําแบบจําลองฯ นีTไปใช้ในอนาคต Q. สรุป แบบจําลองการประเมินปั จจัยที1ส่งผลกระทบต่อการ ถ่ายทอดความรู ้ถูกพัฒนาขึTน โดยมีวตั ถุประสงค์เพื1อสนับสนุน การประเมิ น ปั จ จั ย ในการถ่ า ยทอดความรู ้ ข องที ม พัฒ นา ซอฟต์แวร์ ด้วยวิธีสกรั ม ให้มีประสิ ทธิ ภาพทัTงก่ อนเริ1 มและ ระหว่างการถ่ายทอดความรู ้จริ ง ผลการประเมินแบบจําลองฯ จากการทํากรณี ศึกษา พบว่า ที มรับรู ้ถึงประโยชน์และความ ง่ า ยในการใช้แ บบจํา ลองฯ ด้ว ยมี ค่ า มัธ ยฐานเท่ า กับ ‚ จาก คะแนนเต็ม W แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการนําแบบจําลองฯ นีT ไปใช้ในอนาคต ทัTงนีT ทีมควรประเมินปั จจัยที1ส่งผลกระทบต่อ การถ่ายทอดความรู ้ในทุก Sprint อย่างสมํ1าเสมอ เพื1อให้เกิ ด การถ่า ยทอดความรู ้ ที1 มีป ระสิ ท ธิ ภ าพและประสิ ท ธิ ผ ลอย่า ง ยัง1 ยืน 5. กิตติกรรมประกาศ ขอขอบคุณทีมพัฒนาซอฟต์แวร์ดว้ ยวิธีสกรัม บริ ษทั ฟิ ดีลีตT ี ฟาสิ เนท ฟาสเนท จํากัด ที1เสี ยสละเวลามาเป็ นกลุ่ม ตัวอย่างในการทํากรณี ศึกษา เอกสารอ้ างอิง [1] N. Porrawatpreyakorn, et al.,. “A Knowledge Transfer Framework for Supporting the Transition to Agile Development of Web Application in the Thai Telecommunications Industry.” Proceedings of International Conference on Information Integration and Web-based Applications & Services 15 (2013) . 140. [2] Y. Duan, et al.,. “Identifying key factors affecting transnational knowledge transfer.” Information & Management 47.7-8 (2010) . 356-363. [3] F.D. Davis, et al., “Perceived Usefulness, Perceived Ease of Use, and User Acceptance of Information Technology.” MIS Quarterly ~.~ ( ‹4‹) . ~ ‹-~‚3.

~ 54 ~

Joint Conference on ACTIS & NCOBA 2015, Jan 30-31, Nakhon Phanom, Thailand. ISSN: 1906-9006

[4] K.D. Joshi, et al., “Knowledge transfer among face-toface information systems development team members: examining the role of knowledge, source, and relational context.” Proceedings of the !th Annual Hawaii International Conference on System Sciences (V33‚) . W4. [5] K.D. Joshi, et al., “Knowledge transfer within information systems development teams: Examining the role of knowledge source attributes.” Decision Support Systems ‚~.V (V33•) . ~VV-~~W. [6] L. Hongli and Z. Lei. “Knowledge Transfer in Knowledge Network of IT Consulting Company.” International Conference on Information Management Innovation Management and Industrial Engineering 1 (2009) . 490495. [7] S. Henninger. “Case-Based Knowledge Management Tools for Software Development.” Automated Software Engineering ( ‹‹•) . ~ ‹-~‚3 [8] M. Jelavic. “Socio-Technical Knowledge Management and Epistemological Paradigms: Theoretical Connections at the Individual and Organisational Level.” Interdisciplinary Journal of Information, Knowledge, and Management * (V3 ) . - •. [9] H.L. Yun. “Knowledge Transfer in ISD Offshore Outsourcing Project.” International Conference on Computer Engineering and Technology (2009) . 487491.

[12] A.L. Chuna and S.L. Pan, “Knowledge transfer and organizational learning in IS offshore sourcing.” Omega 36.2 (2008) . 267-281. [13] M. Niazi, et al., “A framework for assisting the design of effective software process improvement implementation strategies.” Journal of Systems and Software 78.2 (2005) . 204-222. [14] F. Galia, “Intrinsic-Extrinsic Motivations, Knowledge Sharing and Innovation in French Firms.” Journal of Knowledge Management 5.1 (2008) . 56-80. [15] V. Venkatesh and F.D. Davis. “A Theoretical Extension of the Technology Acceptance Model: Four Longitudinal Field Studies.” Management Science 46.2 (2000) . 186-204. [16] K.D. Joshi and Sa. Sarker. “Examining the Role of Knowledge, Source, Recipient, Relational, and Situational Context on Knowledge Transfer Among Face-to-Face ISD Teams.” Proceedings of the 39th Annual Hawaii International Conference on System Sciences 7 (2006) . 148. [17] R. Reagans and B. McEvily. “Network Structure and Knowledge Transfer: The Effects of Cohesion and Range.” Administrative Science Quarterly 2.48 (2003) . 240-267. [18] G. Casimir, et al., “Knowledge sharing: influences of trust, commitment and cost.” Journal of Knowledge Management 16.5 (2012) . 740-753

[10] N.H. Arshad, et al., “IT outsourcing and knowledge transfer in Malaysia.” 2nd International Congress on Engineering Education (2010) . 16-21.

[19] A. Lindstrand, et al., “The perceived usefulness of knowledge supplied by foreign client networks.” International Business Review 18.1 (2009) . 26-37.

[11] K. Yokozawa, et al., “A conceptual model for the international transfer of Japanese management systems.” 14th International Annual EurOMA Conference (2007) . 1-10.

[20] M.K. Daskalantonakis. “Achieving higher SEI Levels.” IEEE Software 11.4 (1994) . 17-24.

~ 55 ~

Lihat lebih banyak...

Comentários

Copyright © 2017 DADOSPDF Inc.